Land Filling ไม่ใช่เพียงการนำดินมากองให้เต็มพื้นที่ แต่คือ “ศาสตร์และศิลป์ของการจัดการพื้นดิน” เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักโครงสร้างได้อย่างปลอดภัย
การถมที่ดินที่ดีจะช่วยให้
พื้นดินแน่น ไม่ทรุดตัว
ระบายน้ำได้ดี ป้องกันน้ำท่วมขัง
ปรับระดับให้เหมาะกับงานก่อสร้าง
เพิ่มความมั่นใจในการสร้างฐานราก
ดังนั้น งานถมที่ดินจึงถือเป็น “รากฐานของรากฐาน” ที่จะกำหนดคุณภาพของสิ่งปลูกสร้างในอนาคต
สำรวจพื้นที่ก่อนเริ่มงาน
ตรวจสอบความลาดเอียงและระดับความสูงของพื้นที่ เพื่อวางแผนการถมที่แม่นยำ
เลือกวัสดุถมที่เหมาะสม
เช่น ดินลูกรัง ดินดาน หรือทรายหยาบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงสร้างที่จะก่อสร้าง
ถมและบดอัดเป็นชั้น ๆ
โดยทั่วไปจะถมครั้งละ 30–50 ซม. แล้วใช้เครื่องบดอัดให้แน่นก่อนถมชั้นต่อไป
ตรวจสอบคุณภาพหลังถม
ใช้เครื่องมือทดสอบค่าความแน่นของดิน เพื่อยืนยันว่าพื้นที่พร้อมสำหรับการก่อสร้าง
ในยุคที่การก่อสร้างต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อม การทำ Land Filling ก็มีแนวทางใหม่ ๆ ที่ช่วยลดผลกระทบ เช่น
การใช้วัสดุเหลือใช้จากการก่อสร้างเก่ามาถมแทนดินบางส่วน
การออกแบบระบบระบายน้ำควบคู่ไปกับการถม
การปลูกหญ้าหรือพืชคลุมดินหลังถม เพื่อลดการพังทลายของหน้าดิน
นี่คือตัวอย่างของ “Land Filling แบบยั่งยืน” ที่ไม่เพียงสร้างความมั่นคงให้โครงสร้าง แต่ยังช่วยดูแลโลกไปพร้อมกัน
Land Filling คือขั้นตอนสำคัญที่ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และเทคนิคเฉพาะทาง หากดำเนินการอย่างมืออาชีพ จะช่วยลดความเสี่ยงในอนาคตและเพิ่มความแข็งแรงให้สิ่งปลูกสร้างทุกประเภท
Land filling Pro Services