ก่อนเริ่มงานถมที่ดิน land filling ทีมงานมืออาชีพจะทำการ สำรวจลักษณะพื้นที่เดิม เช่น ความชัน ความแน่นของดินเดิม และระดับน้ำใต้ดิน เพื่อออกแบบการถมที่เหมาะสม รวมถึงคำนวณปริมาณดินและวัสดุที่ต้องใช้ให้พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป
ชนิดของดินมีผลโดยตรงต่อความแข็งแรงของฐานดิน โดยทั่วไปนิยมใช้
ดินลูกรัง (Laterite Soil) – แน่น แข็งแรง เหมาะสำหรับถมก่อนก่อสร้างบ้านหรืออาคาร
ดินดาน – มีความหนาแน่นสูง รับน้ำหนักได้ดี
ดินทรายหยาบ – ใช้สำหรับพื้นที่ที่ต้องการการระบายน้ำดี
ดินแต่ละประเภทจะถูกเลือกให้เหมาะกับ ลักษณะของโครงการ เช่น บ้านพัก, โรงงาน, หรือโกดังเก็บสินค้า
เทคนิคสำคัญของ Land Filling ที่มืออาชีพยึดถือคือ “ถมทีละชั้น บดอัดทุกครั้ง” โดยทั่วไปจะถมครั้งละ 20–30 เซนติเมตร แล้วใช้เครื่องบดอัด (Compactor) เพื่อเพิ่มความแน่นของดินก่อนถมชั้นต่อไป วิธีนี้ช่วยลดโอกาสการทรุดตัวของดินได้มากกว่า 80% เมื่อเทียบกับการถมรวดเดียว
หลังจากถมเสร็จใหม่ ๆ ดินยังไม่เข้าสภาพนิ่ง 100% การพักดินไว้ประมาณ 1–3 เดือน (ขึ้นอยู่กับประเภทของดินและน้ำหนักสิ่งปลูกสร้าง) จะช่วยให้ดินเซตตัวตามธรรมชาติ ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนเทปูนหรือวางโครงสร้าง
ขั้นตอนสุดท้ายของการถมที่ดินแบบมืออาชีพคือการตรวจสอบด้วยเครื่องมือ เช่น Plate Load Test หรือ การทดสอบความแน่นของดิน (Soil Compaction Test) เพื่อให้มั่นใจว่าดินมีค่าความแน่นตามมาตรฐานวิศวกรรม
การถมที่ดิน Land Filling ที่ได้มาตรฐานไม่เพียงช่วยให้สิ่งปลูกสร้างแข็งแรง แต่ยังช่วยลดปัญหาการทรุดตัวในระยะยาว การเลือกทีมงานมืออาชีพที่เข้าใจทั้งเรื่องวัสดุ เทคนิค และการควบคุมคุณภาพ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
“ฐานที่ดี คือจุดเริ่มต้นของความมั่นคง”
การลงทุนในงานถมที่ดินที่ได้คุณภาพ คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยในอนาคตของบ้านและอาคารของคุณ
Land filling Pro Services